Stem Cell เซลล์ต้นกำเนิด

Stem Cell เซลล์ต้นกำเนิด

สเต็มเซลล์เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตนับตั้งแต่เมื่อสเปิร์มได้ผสมกับไข่สเต็มเซลล์หนึ่งเซลล์จะเริ่มแบ่งตัวจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์กว่า 200 ชนิด เพื่อประกอบขึ้นเป็นร่างกายมนุษย์จนสมบูรณ์ในครรภ์มารดา หรือจะกล่าวว่าสเต็มเซลล์คือเซลล์อ่อนที่ยังไม่พัฒนาตัวเองจนสมบูรณ์ก็ย่อมได้สเต็มเซลล์สามารถเจริญเติบโต แบ่งตัวขึ้นมาใหม่ได้อย่างไม่จำกัด และมีศักยภาพพอเพียงที่จะพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์หัวใจ เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เม็ดเลือด และเซลล์กระดูก

โดยสเต็มเซลล์ทุกชนิดจะมีลักษณะพิเศษที่สำคัญ 3 ประการ คือสามารถแบ่งตัวขึ้นใหม่ได้เองตลอดเวลา ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และมีสารอาหารที่เพียงพอ ในกรณีที่แบ่งตัวแล้ว ยังต้องคงสภาพการเป็นเซลล์ที่ยังไม่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงเอาไว้ด้วยสามารถพัฒนาตัวเอง ไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจง ได้มากกว่า 200 ชนิด สำหรับเซลล์ปกติในร่างกายมนุษย์นั้น จะทำหน้าที่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของตนเองได้ เช่น เซลล์สมอง ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์กล้ามเนี้อหัวใจได้ อีกทั้งยังไม่สามารถ พัฒนาหรือแบ่งตัวต่อไปได้ ดังนั้นเมื่อเซลล์เหล่านี้ตายลง ก็จะไม่มีเซลล์ใหม่มาทดแทน

กำเนิดสเต็มเซลล์
สเต็มเซลล์ได้ถูกค้นพบในไขกระดูกเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2503 โดยสองนักวิจัยชาวแคนาดาคือ ดร.เจมส์ อีธิล และ ดร.เออเนส เอแมคคอลัฟ นับแต่นั้นเป็นต้นมา การพัฒนาและวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ก็ได้ดำเนินการเรื่อยมาอย่างไม่หยุดยั้งจนถึงปัจจุบัน

 

 ข้อดีของการจัดเก็บสเต็มเซลล์จากฟัน

  1. การเก็บสเต็มเซลล์จากฟันสามารถเก็บได้หลายครั้ง โดยที่ฟันน้ำนม สามารถเก็บได้ถึง 12 ซี่ ซึ่งจะหลุดในช่วงอายุ 5 - 12 ปี และการเก็บจากฟันกรามแท้ซี่สุดท้ายหรือฟันคุด สามารถเก็บได้ 4 ซี่ ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 17 ปีขึ้นไป

    2. ขบวนการเก็บไม่ยุ่งยาก สามารถให้ทันตแพทย์เก็บฟันให้ หรือเก็บได้เองกรณีเป็นฟันน้ำนมที่หลุดร่วงตามธรรมชาติ

    3. สเต็มเซลล์จากฟัน มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นๆ ได้ดีกว่า สเต็มเซลล์ที่ได้จากแหล่งอื่นๆ ของร่างกาย

    4. Mesenchymal stem cells ซึ่งพบมากในฟันน้ำนม สามารถพัฒนาใช้ในการรักษาโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ อัลไซเมอร์ พาร์คินสัน อัมพฤกษ์ อัมพาต จากการบาดเจ็บของกระดูกไขสันหลัง และสามารถพัฒนาเป็นเซลล์กระดูก กระดูกอ่อน และฟันได้

    5. การใช้สเต็มเซลล์ของตนเองในการปลูกถ่าย (Autologous transplantation) เป็นการรักษาโรคด้วยวิธี Stem cell therapy ที่มีความปลอดภัยสูงมาก

    6. สเต็มเซลล์จากฟันอาจสามารถใช้ในการรักษาโรคในญาติสายตรง เช่น พี่น้อง บิดามารดา ปู่ย่าตายาย เป็นต้น

    7. ไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ จากผู้อื่น เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้สเต็มเซลล์จากผู้อื่น (Allogeneic stem cell transplantation) หรือการใช้สเต็มเซลล์จากสัตว์ (Xenogenic stem cell transplantation)


 ศักยภาพของเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ในการรักษาโรค

การบำบัดรักษาด้วยสเต็มเซลล์แบ่งออกได้เป็นหลายชนิดและในปัจจุบันสเต็มเซลล์เริ่มเป็นที่ยอมรับว่าสามารถรักษาโรคได้หลายชนิดในสหรัฐอเมริกาการบำบัดรักษาด้วยสเต็มเซลล์มีประสิทธิภาพในการโรคเลือดมะเร็งบางชนิดและโรคอื่นๆมานานกว่า 10 ปีและยังมีการนำสเต็มเซลล์มาใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลกเป็นที่ยอมรับว่าการบำบัดรักษาด้วยสเต็มเซลล์ในระยะต่อไปจะสามารถนำมาใช้รักษาโรคเกี่ยวกับสมอง อาทิเช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคพาร์กินสัน และภาวะสมองเสื่อมก่อนวัย การได้รับบาดเจ็บของไขสันหลัง โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง โรค MS และ ALS ข้อเสื่อม โรคที่มีผลสืบเนื่องมาจากความเสื่อมของอวัยวะ มะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจ

นักวิจัยได้ค้นพบว่า เยื่อในของฟันน้ำนมของเด็กบางซี่ ประกอบด้วยเซลล์ชนิด Chondrocyte, Osteoblast, Adipocyte และสเต็มเซลล์ชนิด Mesenchymal เซลล์ชนิดต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้มีศักยภาพอย่างสูงในการรักษาโรคอื่นๆที่มิได้ระบุไว้ในรายการข้างต้นศักยภาพของการนำเอาสเต็มเซลล์จากฟันน้ำนมมาใช้ประโยชน์ในการรักษาจะรวมถึงโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์, พาร์กินสัน และ ALS โรคหัวใจเรื้อรัง ตัวอย่างเช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหัวใจขาดเลือดเรื้อรังโรคที่เกี่ยวกับกระดูกและฟันรวมทั้งการนำมาใช้ในการปลูกถ่ายฟันและกระดูกศักยภาพที่มีความสำคัญสูงสุดประการหนึ่ง คือ การนำเอาสเต็มเซลล์ชนิดนี้มาใช้ในการรักษาภาวะอัมพาตที่มีผลสืบเนื่องมาจากไขสันหลังได้รับบาดเจ็บซึ่งได้มีการศึกษาวิจัยถึงประสิทธิภาพจากการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ชนิด Mesenchymal จากแหล่งอื่นๆมาแล้วความพยายามในการนำเอาสเต็มเซลล์มารักษาโรคเหล่านี้กำลังมีการดำเนินการโดยนักวิจัยที่มีความสามารถสูงในสถาบันการแพทย์ที่ดีที่สุดหลายแห่งทั่วโลกและเป็นที่ยอมรับว่าการรักษาโรคเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า

Cr. http://www.biomsc.com/index.php

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้